500 ปี กรุงฮาวานา ดินแดนแห่งนักสู้

500 ปี กรุงฮาวานา ดินแดนแห่งนักสู้

วันที่นำเข้าข้อมูล 24 ก.ย. 2562

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 30 พ.ย. 2565

| 5,981 view

 

 

           ปี 2562 หรือ ค.ศ. 2019 กรุงฮาวานาครบรอบ 500 ปี และยังเป็นการครบรอบ 60 ปี หลังการปฏิวัติคิวบา เรื่องราวของเกาะแคริบเบียนรูปทรงจระเข้ ดินแดนที่เป็นจุดบรรจบกันระหว่าง “โลกเก่า” (ยุโรป-แอฟริกา) กับ “โลกใหม่” (อเมริกา) เป็นประวัติศาสตร์การหลอมรวมทางสังคมและวัฒนธรรมของสามทวีป กับการต่อสู้ระหว่างสองขั้วอุดมการณ์ทางการเมืองอันยาวนานที่กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนในเมืองที่เต็มไปด้วยสีสัน เสียงเพลงและความสนุกสนาน

 

 

         ผมเคยเดินทางไปกรุงฮาวานา ประเทศคิวบา 7 ครั้งในช่วงที่ประจำการอยู่ที่ประเทศเม็กซิโก ทั้งที่ไปในราชการ (เราไม่มีสถานเอกอัครราชทูตไทยที่​คิวบา จึงให้สถานเอกอัครราชทูตไทยที่เม็กซิโกรับผิดชอบเขตอาณาคิวบาด้วย) และที่ไปส่วนตัว ไปตั้งแต่ยังฟังภาษาสเปนสำเนียงคิวบาไม่ออกจนกระทั่งฟังออกและร่วมสนทนากับผู้คนได้ค่อนข้างสะดวก

         การเดินทางไปที่เดิมซ้ำหลาย ๆ ครั้งไม่ได้ทำให้เราเบื่อสถานที่เหมือนที่คนมักจะเชื่อกัน  แม้ว่าเราจะไปประเทศเดิม เมืองเดิม กระทั่งเดินอยู่บนถนนเส้นเดิม แต่ว่าในแต่ละครั้งเราก็ได้รู้จักสถานที่นั้นดีขึ้น ได้เห็นในสิ่งที่อาจไม่ทันได้สังเกตในครั้งก่อน ทำให้เราชื่นชมและเข้าใจสถานที่นั้นมากขึ้น และถ้าต้องไปอีก 10 หรือ 20 ครั้ง   ก็คงจะได้อะไรใหม่ ๆ กลับมาทุกครั้งอย่างแน่นอน  สำหรับวันนี้ ผมขอเล่าสู่กันฟังเท่าที่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ได้สัมผัสกับกรุงฮาวานา และประเทศคิวบา ระหว่างการเดินทางเจ็ดครั้งที่ผ่านมา

 

 

01 ประตูสู่ทวีปอเมริกา

 

          ค.ศ. 1492 คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ออกเดินเรือจากสเปน มุ่งหน้าไปทางตะวันตกด้วยความหวังว่าจะมีเส้นทางสู่ทวีปเอเชีย โดยไม่รู้มาก่อนว่าที่จริงแล้วมีทวีปขนาดใหญ่ขั้นกลางอยู่ระหว่างยุโรปกับเอเชีย ทว่าความมุ่งมั่นที่จะค้นหาเส้นทางใหม่จากยุโรปสู่เอเชียกลับนำไปสู่การค้นพบที่ยิ่งใหญ่กว่าความตั้งใจเดิมเสียอีก นั่นก็คือ การค้นพบทวีปใหม่

         อันที่จริง ถ้าจะบอกว่าโคลัมบัส “ค้นพบทวีปใหม่” ก็คงไม่ถูกต้องซะทีเดียว เพราะว่าทวีปอเมริกามีผู้อยู่อาศัยมาก่อนแล้วหลายพันปี และมีอารยธรรมที่รุ่งเรืองไม่น้อยไปกว่าทวีปเอเชียเลย หากแต่ชาวยุโรปเพิ่งจะได้รู้จักดินแดนแห่งนี้เมื่อปลายศตวรรษที่ 15

          โคลัมบัสเดินทางมาถึงหมู่เกาะบาฮามาสในทะเลแคริบเบียนและต่อไปถึงชายฝั่งคิวบาเมื่อปี ค.ศ. 1492  จากนั้น สเปนเริ่มสร้างถิ่นฐานบนเกาะคิวบาในปี ค.ศ. 1511 และสร้างเมือง La Habana (ลา อาบาน่า) ในปี ค.ศ. 1515 ซึ่งต่อมาได้ย้ายมาอยู่ ณ ที่ตั้งปัจจุบันเมื่อปี ค.ศ. 1519 และเป็นเมืองหลวงของคิวบา

         จากคิวบา สเปนได้เดินหน้าสู่แผ่นดินใหญ่ของทวีปอเมริกา เริ่มจากเม็กซิโกในปี ค.ศ. 1519 และต่อไปยังกัวเตมาลา เปรู และในที่สุดก็ทวีปอเมริกาใต้ทั้งหมด ยกเว้นบราซิลซึ่งปกครองโดยโปรตุเกส

 

 

       ถนน Paseo del Prado หรือ Paseo Marti วิ่งผ่านใจกลางกรุงเก่าฮาวานา เรียงรายด้วยตึกแถวโอ่งโถงสไตล์ยุโรปที่มีสีสันสดใส

 

 

02 ดินแดนแห่งนักสู้

 

        การต่อสู้ที่เป็นที่จดจำที่สุดครั้งหนึ่งของประวัติศาสตร์โลกร่วมสมัยคงหนีไม่พ้นการปฏิวัติของฟิเดล คาสโตร (Fidel Castro) นักกฎหมายหนุ่มที่กลายมาเป็นผู้นำสงครามกองโจรเพื่อโค่นล้มรัฐบาลของนายพลฟูลเฮนซิโอ บาติสตา (Fulgencio Batista) และผู้สร้างคิวบาเป็นรัฐคอมมิวนิสต์

        การปฏิวัติคิวบาเริ่มต้นขึ้นจาก “ขบวนการ 26 กรกฎาคม” (Movimiento 26 de Julio หรือ M-26-7) นำโดยฟิเดล คาสโตร ร่วมกับน้องชาย คือ ราอูล คาสโตร (Raul Castro) ที่ต้องการกระจายรายได้ให้กับกลุ่มเกษตรกรและผู้ใช้แรงงาน รวมถึงต้องการล้มล้างการปกครองของนายพลบาติสตา ซึ่งก่อรัฐประหารและยึดอำนาจเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สองเมื่อปี ค.ศ. 1952 (เคยได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสมัยแรกเมื่อปี ค.ศ. 1940-1944)

         เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ค.ศ. 1953 กลุ่ม M-26-7 ได้เข้าโจมตีค่ายทหารในเมือง Santiago de Cuba ซึ่งประสบกับความล้มเหลว ทำให้ทั้งฟิเดลและราอูลถูกจับและได้รับโทษจำคุกกว่าสิบปี แต่เหมือนโชคชะตาจะยังเข้าข้างสองพี่น้อง เมื่อนายพลบาติสตาให้การอภัยโทษในเวลาสองปีต่อมา ทั้งสองคนจึงถือโอกาสลี้ภัยไปอยู่ที่เม็กซิโกเพื่อวางแผนเดินหน้าปฏิวัติต่อไป  ในช่วงเวลาที่อาศัยอยู่ที่เม็กซิโกนั้นเอง ฟิเดลได้พบกับแพทย์หนุ่มชาวอาร์เจนตินาที่ชื่อว่าเออร์เนสโต เกบาร่า (Ernesto Guevara) หรือที่เราคุ้นหูกันในนาม เช เกบาร่า (Che Guevara) ซึ่งเข้าร่วม M-26-7 และขึ้นเรือกลับไปคิวบาพร้อมกับสองพี่น้องคาสโตรและเพื่อนร่วมขบวนการฯ รวมทั้งหมด 82 ชีวิต เพื่อต่อสู้กับนายพลบาติสตาอีกครั้งในช่วงปลายปี ค.ศ. 1956 จนกระทั่งได้รับชัยชนะในปี ค.ศ. 1959

 

 

        ใบหน้าของ Che และคำพูดอันโด่งดังที่เขาเคยกล่าวกับฟิเดล ว่า Hasta La Victoria Siempre (“จนกว่าจะได้พบกับชัยชนะ ตลอดไป”) จารึกอยู่บนอาคารกระทรวงกิจการภายในคิวบา (กระทรวงมหาดไทย) ณ จัตุรัสแห่งการปฏิวัติ (Plaza de la Revolución) นอกจากนี้ คำพูดดังกล่าวยังเป็นแรงบันดาลใจสำหรับบทเพลงอมตะของคิวบาที่ชื่อว่า Hasta Siempre Comandante ซึ่งเสมือนการตอบกลับไปยังวีรบุรุษผู้นี้ว่า “แล้วพบกันอีกครั้ง ท่านผู้บัญชาการ”

 

 

        ด้านข้างกระทรวงกิจการภายใน คือ กระทรวงสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งมีใบหน้าของวีรบุรุษอีกคน คือ กามีโย่ เซียนฟูเอโกส (Camillo Cienfuegos) พร้อมคำพูดของเขาต่อฟิเดล ว่า Vas bien Fidel (นายทำได้ดีแล้ว ฟิเดล) ที่กลายเป็นสโลแกนติดปากในช่วงการต่อสู้ของกลุ่มปฏิวัติฯ

 

 

        ฝั่งตรงข้ามกระทรวงกิจการภายในและกระทรวงสารสนเทศและการสื่อสาร คือ อนุสาวรีย์ José Martí วีรชนที่ต่อสู้เพื่อเอกราชของคิวบาในช่วงศตวรรษที่ 19

 

 

         หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ Granma ฉบับวันที่ 26 พฤศจิกายน ค.ศ. 2016 รายงานเรื่องการจากไปของนายฟิเดล คาสโตร โดยพาดหัวข่าวว่า Hasta la victoria siempre, Fidel! (ขอบคุณรูปภาพจากคุณ Jorge Vera กงสุลกิตติมศักดิ์ของไทยประจำกรุงฮาวานา) หนังสือพิมพ์ Granma เป็นสื่อของรัฐ ตั้งชื่อตามเรือที่ชื่อว่า Granma (แปลว่าคุณย่า/คุณยาย) ที่สองพี่น้องคาสโตร พร้อมด้วย Che และ Cienfuegos ใช้เดินทางจากเม็กซิโกกลับมาคิวบาเมื่อปี ค.ศ. 1956 เพื่อทำการปฏิวัติ

       นอกจากนี้ ยังมีเรื่องน่าทึ่งเกี่ยวกับคนไทยในประวัติศาสตร์คิวบาที่ไม่เป็นที่ทราบกันเท่าไหร่ นั่นก็คือ ในช่วงหลังการปฏิวัติและคิวบาอยู่ในช่วงปฏิรูปเศรษฐกิจ ศาสตราจารย์ชาวไทยนามว่า วัฒนา กมลปรีชา อดีตหัวหน้าส่วนแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งย้ายไปอยู่คิวบาและเคยเป็นอาจารย์วิชาเศรษฐศาสตร์ของฟิเดล คาสโตร ที่มหาวิทยาลัยลาอาบาน่า (Universidad de La Habana) ได้รับเชิญให้ร่วมเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาของคณะกรรมการกลางว่าด้วยการวางแผนประจำกระทรวงการคลังคิวบาด้วย (อ้างอิง : หนังสือ ผจญภัยในแดนเทศ ตอน อาจารย์ของผู้นำหนวดเครารก โดยอาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ)

 

03 การปฏิวัติ กับ กาละแม

 

       “กวนกาละแมกัน มาซิมากวนกาละแมกัน” เนื้อร้องอันขบขันจากบทเพลงที่ขับร้องโดยคุณลินจง บุนนากรินทร์ (พ.ศ. 2486 - 2558) เมื่อครึ่งศตวรรษก่อน เล่าถึงขั้นตอนการทำกาละแมด้วยท่วงทำนองที่ติดหู หากใครได้ฟังแล้วรับรองว่าจะต้องได้ยินเพลงนี้วนเวียนอยู่ในหัวไปตลอดทั้งวัน

       สิ่งที่น่าแปลกใจคือ เวลาเดินอยู่ในเมืองเก่าของกรุงฮาวานา เราจะได้ยินเพลงที่มีทำนองเดียวกันนี้บรรเลงสดอยู่ตามท้องถนนและพื้นที่สาธารณะตลอดวัน แต่เป็นเสียงร้องภาษาสเปนว่า “Guantanamera, guajira guantanamera” (กวานตานาเมรา กวาฮีรา กวานตานาเมรา) เพลงคิวบานี้เองคือต้นฉบับของทำนองที่กลายมาเป็น “กวนกาละแมกัน มาซิมากวนกาละแมกัน” ในประเทศไทย

       ชื่อเพลง Guantanamera แปลว่า หญิงสาวจากกวนตานาโม เป็นเพลงที่มีเนื้อหากึ่งสะท้อนเรื่องราวของการปฏิวัติและการต่อสู้เพื่ออิสรภาพและชีวิตที่ดีขึ้นของผู้คนที่ถูกกดขี่ ซึ่งผู้แต่งได้ยืมเนื้อร้องมาจากคอลเลคชั่นบทกวี Versos Sencillos ของ José Martí บิดาแห่งการกอบกู้เอกราชคิวบา

 

Yo soy un hombre sincero

De donde crece la palma,         

Y antes de morir yo quiero

Echar mis versos del alma.

 

ฉันเป็นผู้ชายที่ซื่อตรง

จากดินแดนที่ต้นปาล์มเติบใหญ่

และก่อนจากโลกนี้ไป ฉันขอให้

ได้ตะโกนร้องท่อนกลอนแห่งจิตวิญญาณ

 

Mi verso es de un verde claro

Y de un carmín encendido.

Mi verso es un ciervo herido

Que busca en el monte amparo.

 

ท่อนกลอนของฉันเป็นสีเขียวอ่อน

และสีส้มที่สว่างไสว

กลอนของฉันคือกวางที่บาดเจ็บ

มองหาแหล่งหลบภัยในภูเขา

 

Cultivo una rosa blanca

En julio como en enero,

Para el amigo sincero

Que me da su mano franca.

 

ฉันปลูกกุหลาบขาว

ในเดือนกรกฎาคมเฉกเช่นเดือนมกราคม

แด่เพื่อนเกลอผู้ซื่อตรง

ที่ได้ยื่นมืออันซื่อสัตย์มาให้ฉัน

 

Con los pobres de la tierra

Quiero yo mi suerte echar.

El arroyo de la sierra

Me complace más que el mar.

 

กับผู้ยากจนแห่งผืนแผ่นดินนี้

ที่ฉันต้องการร่วมชะตาด้วย

ลำธารแห้งเหือดแห่งขุนเขานั้น

ฉันโปรดปรานซะยิ่งกว่าทะเล

 

        จากบทเพลงแห่งการปฏิวัติสู่การกวนกาละแม ดูแล้วไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรกันได้ แต่สองเรื่องนี้ก็มาบรรจบกันในประเทศไทย ซึ่งใครที่ชื่นชอบหรือนิยมฟังเพลงไทยเก่า ๆ ก็คงคุ้นกันดีกับเพลงไทยในอดีตที่นำท่วงทำนองจากเพลงต่างชาติมาใส่เนื้อร้องภาษาไทย สำหรับเพลง “กวนกาละแมกัน” ของคุณลินจงฯ ก็มาจากเพลง Guantanamera ของคิวบา ซึ่งเคยเป็นที่โด่งดังอย่างมากในช่วงทศวรรษ 1960 จากการ cover โดยวง The Sandpipers ของสหรัฐฯ

 

 

 

        ตามท้องถนนในย่านนักท่องเที่ยวจะพบร้านหนังสือเก่าและโปสเตอร์การปฏิวัติคิวบาจำนวนมาก ทำให้บรรยากาศการปฏิวัติยังมีหลงเหลือมาถึงทุกวันนี้

 

04 ชาวต่างชาติผู้มีนามว่าเออร์เนสต์

 

          แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเดินทางไปคิวบาโดยไม่ได้ยินชื่อของ Che Guevara และ Hemingway สองบุรุษผู้เปรียบเสมือนสัญลักษณ์และหน้าตาของวัฒนธรรมร่วมสมัยของคิวบา เมื่อเดินอยู่บนท้องถนนในกรุงฮาวานา เราจะเห็นหน้าของ Che ปรากฏอยู่บนเสื้อผ้าและของที่ระลึกทุกร้าน (ทุกร้านจริง ๆ) ในขณะที่ชื่อของ Hemingway ก็เป็นแรงดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากต้องยืนต่อแถวรอเข้าไปดื่มคอกเทลโปรดของเขาในบาร์ที่เขาเคยนั่ง

         สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ ชายทั้งสองคนนี้หาใช่ชาวคิวบาแต่อย่างใด และทั้งสองคนก็ยังมีชื่อเหมือนกันอีก   นั่นก็คือ Ernest (หรือ Ernesto ตามภาษาสเปน)

         Ernest Hemingway เป็นนักเขียนชาวสหรัฐฯ ชื่อดัง เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมเมื่อปี ค.ศ. 1954 ซึ่งอาศัยอยู่ที่คิวบาเป็นเวลาร่วม 20 ปี (แบบเข้า ๆ ออก ๆ เดินทางไปมาระหว่างคิวบา สหรัฐฯ กับยุโรป) และในช่วงเวลาที่อยู่ที่คิวบานี่เองที่เขาได้เขียนหนังสือเรื่อง The Old Man and the Sea เกี่ยวกับชาวประมงคิวบาที่ต่อสู้กับปลาดาบ ซึ่งชนะรางวัล Pulitzer Prize และกลายเป็นผลงานวรรณกรรมอมตะชิ้นหนึ่งของสหรัฐฯ

        ส่วน Ernesto “Che” Guevara เป็นนายแพทย์ชาวอาร์เจนตินาผู้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับสองพี่น้อง คาสโตรในการปฏิวัติคิวบาระหว่างปี ค.ศ. 1956-1959 จนกระทั่งได้รับชัยชนะ และหลังจากนั้นได้ดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่งในรัฐบาลคาสโตร ก่อนจะตัดสินใจออกเดินทางไปต่อสู้ในประเทศอื่น ๆ จนกระทั่งจบชีวิตลงที่ประเทศโบลิเวีย

        แม้เส้นทางชีวิตจะต่างกัน แต่ชายต่างชาติสองคนนามว่าเออร์เนสต์ คนหนึ่งจากอเมริกาเหนือและอีกคนจากอเมริกาใต้ ซึ่งจากคิวบาไปกว่า 50 ปีแล้ว ก็ยังคงเป็นที่จดจำของผู้คนบนเกาะแห่งนี้มาจนถึงทุกวันนี้

 

 

 

        บ้านของ Ernesto “Che” Guevara ถูกเก็บรักษาไว้และเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชมได้ เป็นบ้านขนาดไม่ใหญ่ มีของใช้ไม่มาก และค่อนข้างเรียบง่าย

 

 

        ร้านอาหารและบาร์ El Floridita แหล่งนั่งดื่มประจำของ Ernest Hemingway ผู้หลงใหลในคอกเทล Daiquiri ที่ทางร้านได้คิดค้นขึ้น เป็นหนึ่งในสองบาร์ที่ดังที่สุดของคิวบา ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นว่ามีลายเซ็นของ Hemingway ปรากฏอยู่หน้าร้านด้วย

 

 

ร้านอาหารและบาร์ชื่อดังอีกแห่งคือ La Bodeguita del Medio ผู้คิดค้นคอกเทล Mojito

 

 

        El Floridita และ La Bodeguita del Medio ดังเป็นพลุแตก โดยเฉพาะในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่วนหนึ่งจากอิทธิพลของ Ernest Hemingway ที่เคยบอกว่าเขาดื่ม Daiquiri ที่ El Floridita และ Mojito ที่ La Bodeguita ดังเห็นได้บนจานที่ระลึกใบนี้ ที่เป็นรูปวาดร้านทั้งสองแห่ง พร้อมคำพูดว่า “My daiquiri in El Floridita. My mojito in La Bodeguita” - E. Hemingway

 

 

05 รถยนต์คลาสสิกมาจากไหน

 

       ตอบแบบสั้น ๆ เลยก็คือมาจากสหรัฐฯ แต่ถ้าให้ตอบยาวขึ้นอีกหน่อยก็คือ เป็นมรดกที่ประวัติศาสตร์และการปฏิวัติได้ทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังดูต่างหน้า

        ในอดีตคิวบาเคยมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ ตั้งแต่การต่อสู้เพื่อเอกราชจากสเปนซึ่งสหรัฐฯ ได้เข้าแทรกแซงและต่อสู้กับสเปนเมื่อปี ค.ศ. 1898 ที่นำไปสู่การทำสนธิสัญญาสงบศึก โดยสเปนยกสิทธิการปกครองที่เคยมีเหนือคิวบาให้แก่สหรัฐฯ (ในคราวเดียวกันสเปนได้สูญเสียการปกครองเปอร์โตริโก เกาะกวม และฟิลิปปินส์ให้สหรัฐฯ ด้วย) และเป็นการสิ้นสุดของจักรวรรดิสเปนในทวีปอเมริกา จากนั้นสหรัฐฯ เข้าปกครองคิวบาจนถึงปี ค.ศ. 1902 ก่อนจะมอบเอกราชให้กับคิวบาอย่างเป็นทางการ

        แม้ว่าคิวบาจะได้รับเอกราชแล้ว แต่ในช่วงเวลากว่า 50 ปี ต่อมา สหรัฐฯ ยังคงมีอิทธิพลครอบงำคิวบาในแทบทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างผู้นำ การดำเนินธุรกิจของสหรัฐฯ ในคิวบา หรือการสร้างกรุงฮาวานาและเมืองติดทะเลต่าง ๆ เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของนักท่องเที่ยวต่างชาติ จนคิวบาแทบจะไม่ต่างอะไรจากเมืองขึ้นของสหรัฐฯ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่รถยนต์ ทีวี วิทยุ ตู้เย็น และของใช้ประจำวันต่าง ๆ ในคิวบาในสมัยนั้นก็มาจากสหรัฐฯ เช่นกัน

       ความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างคิวบากับสหรัฐฯ ในอดีต ทำให้มีการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มาในคิวบาเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน รวมถึงรถยนต์ แต่ภายหลังการปฏิวัติและการปฏิรูปเศรษฐกิจคิวบาในเวลาต่อมา หนึ่งในมาตรการที่ออกมาก็คือการห้ามนำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศ ซึ่งทำให้ไม่มีการนำเข้ารถยนต์รุ่นใหม่ (จนกระทั่งเมื่อปลายปี ค.ศ. 2013 ที่รัฐบาลคิวบายกเลิกมาตรการดังกล่าว) ประชาชนจึงรักษาและซ่อมบำรุงรถยนต์ที่มีอยู่เพื่อใช้งานต่อมาเรื่อย ๆ และเมื่อเวลาผ่านไปนานหลายสิบปี รถยนต์รุ่นเหล่านี้แทบจะสูญพันธุ์จากโลก แต่ปรากฏว่าคิวบายังมี “คอลเลคชั่นรถคลาสสิก” ที่วิ่งอยู่จริงตามท้องถนน รวมถึงรถยนต์จากค่ายดัง ๆ ในอดีตที่ได้ปิดกิจการไปนานแล้วอย่าง Oldsmobile, Plymouth, DeSoto

 

 

 

 

 

        รถคลาสสิคจากยุค 1950-1960 แล่นไปมาบนท้องถนน Paseo del Prado (Paseo Martí) วิ่งผ่านหน้า 1. อาคาร El Capitolio  2. โรงภาพยนตร์ Payret 3.โรงละคร Gran Teatro de La Habana และ 4. โรงแรม Telégrafo

 

 

 

ไม่เพียงเฉพาะรถยนต์ซีดานเท่านั้น แต่รถบรรทุกก็คลาสสิกเช่นกัน

 

 

 

       มอเตอร์ไซต์คลาสสิกก็มี : Coco Taxi รถตุ๊กตุ๊กรูปทรงมะพร้าว (หรือบางคนอาจมองว่าเป็นหมวกกันน็อค) ดัดแปลงมาจากรถสกู๊ตเตอร์ Piaggio ของอิตาลี เพื่อรับ-ส่งผู้โดยสารระยะทางสั้น ๆ เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยว ด้วยรูปลักษณ์และสีสันที่โดดเด่น

 

06 รัม ซิการ์ และ 3 ช่า

 

       สามสินค้าส่งออกชื่อดังของคิวบา ไม่ได้เกิดขึ้นมาโดยความบังเอิญ แต่เป็นผลผลิตจากประวัติศาสตร์ที่ยาวนานหลายร้อยปี และการผสมผสานวิถีชีวิตและสังคมวัฒนธรรมของโลกเก่ากับโลกใหม่

       รัม - เครื่องดื่มแอลอกฮอลที่เลื่องชื่อของคิวบา ซึ่งเป็นส่วนผสมสำคัญในคอกเทลชื่อดังอย่างโมฮิโต (Mojito) ไดคีรี (Daiquiri) และกูบาลิเบร (Cuba Libre) เริ่มเป็นที่โด่งดังนอกประเทศคิวบาจากการขยายตลาดในต่างประเทศของบริษัท Bacardí ในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 อย่างไรก็ดี ในปัจจุบัน Bacardí ไม่ได้เป็นบริษัทสัญชาติคิวบาแล้ว เนื่องจากได้ย้ายสำนักงานและฐานการผลิตออกจากประเทศในช่วงการปฏิรูปเศรษฐกิจสู่ระบบคอมมิวนิสต์และมีการยึดบริษัทเอกชนมาเป็นของรัฐ โดยทุกวันนี้รัมที่มีชื่อเสียงที่สุดของคิวบา คือ Havana Club ซึ่งเป็นอีกบริษัทที่ถูกยึดมาเป็นรัฐวิสาหกิจในช่วงการปฏิรูป

 

 

       ซิการ์ - มนุษย์กลุ่มแรกที่ปลูกและบริโภคยาสูบ คือ ชนพื้นเมืองแห่งทวีปอเมริกา และเมื่อโคลัมบัสเดินทางมาถึงก็ได้รู้จักกับยาสูบของชาวแคริบเบียน  สินค้าเกษตรที่แปลกใหม่นี้ถูกนำกลับไปเผยแพร่ต่อจนกระทั่งเป็นที่นิยมทั่วทวีปยุโรป ต่อมา สเปนและเจ้าอาณานิคมยุโรปอื่น ๆ จึงปลูกใบยาสูบเป็นรูปอุตสาหกรรมใหญ่โตในอาณานิคมแถบอเมริกาใต้เพื่อการส่งออก ยาสูบได้กลายเป็นหนึ่งในสินค้าเกษตรที่เลื่องชื่อของภูมิภาคนี้มาจนถึงปัจจุบัน และที่ดังที่สุดคงหนีไม่พ้นซิการ์ (cigar) ของคิวบา ปัจจุบันซิการ์ของคิวบาผลิตโดยวิสาหกิจของรัฐหรือโรงงานยาสูบชื่อว่า Cubatabaco และจัดจำหน่าย/ส่งออกโดยวิสาหกิจของรัฐชื่อว่า Habanos โดยยี่ห้อที่ดังที่สุดและแพงที่สุดน่าจะเป็น Cohiba เนื่องจากในอดีตเป็นยี่ห้อที่ผลิตขึ้นเฉพาะสำหรับผู้นำและบุคคลระดับสูงในรัฐบาลคิวบา และเพื่อมอบเป็นของขวัญแก่ผู้นำต่างประเทศ ชื่อยี่ห้อนี้มาจากคำว่า “cohiba” ซึ่งเป็นคำที่ชนพื้นเมืองใช้เรียกยาสูบ ณ ตอนที่โคลัมบัสเดินทางมาถึงเกาะคิวบาเมื่อห้าร้อยปีก่อน

 

 

ซิการ์จากคิวบา

 

 

ภาพวาดกล่องบรรจุภัณฑ์ซิการ์ยี่ห้อ Cohiba จัดแสดงอยู่ ณ โรงแรมแห่งหนึ่งในใจกลางกรุงฮาวานา

 

       ดนตรีคิวบา - ในอดีตภูมิภาคแคริบเบียนเป็นแหล่งผลิตน้ำตาลที่สำคัญ โดยมีคิวบาและเฮติเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ แต่หลังการปฏิวัติเฮติและเหตุการณ์ความวุ่นวายที่ตามมา คิวบาได้กลายเป็นผู้ครองตลาดประจำภูมิภาคและ ณ จุดหนึ่งเคยเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลกด้วย (เป็นที่มาของการผลิตเหล้ารัม ซึ่งใช้กากน้ำตาลเป็นวัตถุดิบ) ซึ่งอุตสาหกรรมน้ำตาลนี้เองที่เป็นผู้นำแรงงานจำนวนมหาศาลจากแอฟริกามายังหมู่เกาะแคริบเบียน  และก่อกำเนิดสังคมที่ผสมผสานกันระหว่างผู้คนและวัฒนธรรมจากสเปนกับแอฟริกา ที่เรียกว่า “แอโฟร-กูบาโน่” (Afro-Cubano) รวมถึงดนตรีคิวบาที่ผสมดนตรีเครื่องสายจากสเปนกับจังหวะกลองของแอฟริกาได้อย่างลงตัว   ไม่ว่าจะเป็นเพลงแนว Cha Cha Cha (3 ช่า) Son Cubano หรือ Salsa (อันหลังสุดนี้ถือกำเนินขึ้นในนครนิวยอร์กโดยชุมชนคิวบาและเปอร์โตริโก)

 

 

 

       การแสดงดนตรีของ Buenavista Social Club กลุ่มนักดนตรีที่รื้อฟื้นและสร้างกระแสความนิยมให้กับดนตรีของคิวบาจากยุคสมัยก่อนการปฏิวัติ

 

* * * * *

 

เรื่องและภาพ : พงศ์สิน เทพเรืองชัย