ทิศทางการบริหารประเทศของนิวซีแลนด์จะเป็นอย่างไร เมื่อผู้นำนิวซีแลนด์ตั้งครรภ์

ทิศทางการบริหารประเทศของนิวซีแลนด์จะเป็นอย่างไร เมื่อผู้นำนิวซีแลนด์ตั้งครรภ์

วันที่นำเข้าข้อมูล 25 ม.ค. 2561

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 14 ต.ค. 2565

| 1,256 view

           สื่อต่าง ๆ ทั่วโลกให้ความสนใจเป็นพิเศษกับนิวซีแลนด์ เมื่อ น.ส. จาซินดา อาร์เดิร์น (Jacinda Ardern) นายกรัฐมนตรีหญิง วัย 37 ปี ออกมาประกาศพร้อมนาย Clarke Gayford ซึ่งเป็นคู่ครอง (Partner) ของเธอ  เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2561 ว่าเธอตั้งครรภ์ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2560 และกำหนดจะคลอดในช่วงเดือนมิถุนายน 2561

            จาซินดา อาร์เดิร์น เป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ เป็นหัวหน้าพรรคแรงงาน เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 3 ของนิวซีแลนด์ และเป็นหนึ่งในผู้นำที่อายุน้อยที่สุดของโลกคนหนึ่งด้วย เธอก้าวเข้ารับตำแหน่งผู้นำพร้อมกับการดำเนินนโยบายทางการเมืองและสังคมแบบก้าวหน้าที่สนับสนุนการแต่งงานของคู่รักเพศเดียวกัน              การทำแท้ง ให้ความสำคัญในการสงเคราะห์การศึกษาสำหรับผู้หญิงและเด็กที่ขาดโอกาส เป็นต้น เธอมีบุคลิกที่เข้าถึงง่ายโดยเฉพาะจากสังคมออนไลน์ทำให้ได้รับความนิยมจากชาวกีวี (ชาวนิวซีแลนด์) และผู้คนจำนวนมากทั่วโลก ในด้านการต่างประเทศ เธอเน้นการมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ในเวทีระหว่างประเทศและการดำเนินการอย่างอิสระบนพื้นฐานของกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศ   

            เมื่อผู้นำประเทศถึงกำหนดลาคลอด ทุกคนต่างสงสัยว่าแล้วใครจะบริหารประเทศในช่วงนั้น คำตอบ คือ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศวินส์ตัน ปีเตอร์ส (Winston Peters) โดยจะรักษาการเป็นเวลา 6 สัปดาห์ภายหลังที่คลอดบุตร และเธอยังต้องมอบหมายให้รัฐมนตรีท่านอื่น ๆ ทำหน้าที่แทนเธอใน 3 กระทรวงที่เธอดำรงตำแหน่งอยู่ด้วย ได้แก่ กระทรวงศิลปะ วัฒนธรรม และมรดกวัฒนธรรม (Ministry of Arts, Culture and Heritage) กระทรวงความมั่นคงและข่าวกรอง (Ministry for National Security and Intelligence) และกระทรวงลดความยากจนในเด็ก (Ministry of Child Poverty Reduction) เธอให้ความเชื่อมั่นถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเธอกับรองนายกรัฐมนตรีปีเตอร์สว่าเขาจะสามารถบริหารประเทศได้อย่างดี และทุกคนสามารถติดต่อเธอได้ในระหว่างที่เธอลาคลอด อย่างไรก็ตาม ภายใต้กฎหมายนิวซีแลนด์  ผู้รักษาการนายกรัฐมนตรีจะมีอำนาจในการบริหารประเทศที่จำกัด ในเรื่องสำคัญ เช่น การแต่งตั้งหรือถอดถอนรัฐมนตรี การยุบสภา และความมั่นคง จำเป็นต้องมีการปรึกษาและได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีก่อนเสมอ เมื่อพิจารณาแง่มุมทางการเมืองและทางกฎหมายแล้ว การบริหารประเทศโดยรักษาการนายกรัฐมนตรีในระหว่างที่เธอลาคลอดนั้น ยังคงเป็นปกติทั้งนโยบายภายในประเทศและนโยบายการต่างประเทศ

         ดังนั้น การตั้งครรภ์ของนายกรัฐมนตรีอาร์เดิร์นจะไม่สร้างผลกระทบในด้านการบริหารประเทศอย่างมีนัยสำคัญมากนัก (หากไม่มีวิกฤตการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น) อีกทั้งเหตุการณ์นี้ทำให้เกิดการชูประเด็นเรื่องบทบาทของสตรีในนิวซีแลนด์ที่สามารถมีโอกาสสร้างครอบครัวควบคู่ไปกับการทำงาน สะท้อนให้เห็นแนวคิดที่ทันสมัย ก้าวหน้า เน้นความครอบคลุมและเท่าเทียมของผู้คนในสังคมนิวซีแลนด์ และทำให้ตัวเธอเองสามารถนำเสนอและผลักดันแนวนโยบายด้านการส่งเสริมบทบาทของสตรีในสังคมยุคใหม่ได้อีกด้วย

          เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับนิวซีแลนด์แล้ว เหตุการณ์นี้ไม่น่าจะสร้างผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศเช่นเดียวกัน ทั้งยังเป็นการดีที่ทั้งสองประเทศมีแนวนโยบายไปในทิศทางเดียวกันด้านการส่งเสริมบทบาทของสตรีที่สามารถสร้างความร่วมมือหรือแลกเปลี่ยนวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศได้ในอนาคต นอกจากความสัมพันธ์ด้านการค้า การลงทุน และการศึกษา

           เธอไม่ได้เป็นผู้นำประเทศเพียงคนเดียวที่ตั้งครรภ์ขณะดำรงตำแหน่ง โดยผู้นำคนแรกของโลกที่ให้กำเนิดบุตรในระหว่างดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศคือ นางเบนาซีร์ บุตโต (Benazir Bhutto) อดีตนายกรัฐมนตรีปากีสถาน ในปี ค.ศ. 1990 (พ.ศ. 2533)

                                   

                                                     **********
ที่มาภาพ 
https://www.thetimes.co.uk/article/ และ https://www.stuff.co.nz/national/politics/ 

โดย นายพิพัฒน์ เจริญสุข

กองแปซิฟิกใต้

กรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้