เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๔ ชิลีได้จัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบที่สองระหว่างนาย Jose Antonio Kast ผู้สมัครจากพรรค Partido Republicano (พรรคฝ่ายขวา) และนาย Gabriel Boric ผู้สมัครจากพรรค Apruebo Dignidad Coalition (พรรคฝ่ายซ้าย) ซึ่งเป็นผู้สมัครที่ได้รับคะแนนเสียงสูงสุดสองอันดับแรกในการเลือกตั้งทั่วไปรอบแรกเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ทั้งนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้งชิลีได้ประกาศผลการเลือกตั้งรอบที่สอง ปรากฏว่า นาย Boric ได้รับชัยชนะด้วยคะแนนเสียงร้อยละ ๕๕.๘๗ ขณะที่นาย Kast ได้รับคะแนนเสียงร้อยละ ๔๔.๑๓ โดยนาย Boric มีกำหนดสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีชิลีในวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๕ และมีวาระการดำรงตำแหน่ง ๔ ปี (๒๕๖๕ - ๒๕๖๙) ซึ่งจะเป็นช่วงสำคัญในการเมืองของชิลีจากการที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการร่าง) จะมีผลบังคับใช้หากผ่านการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ

นาย Boric ปัจจุบันอายุ ๓๕ ปี เป็นอดีตแกนนำนักศึกษาที่รณรงค์ต่อต้านความเหลื่อมล้ำในสังคมและปัญหาทุจริตคอรัปชันในชิลี เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสองสมัยและมีบทบาทนำในการผลักดันความตกลงระหว่างฝ่ายค้านกับรัฐบาลชุดปัจจุบันเพื่อเปิดทางให้มีการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยนาย Boric จะเป็นประธานาธิบดีชิลีที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ ชัยชนะของนาย Boric และพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายในครั้งนี้สะท้อนถึงกระแสความไม่ไว้วางใจที่เพิ่มสูงขึ้นต่อพรรคการเมืองฝ่ายขวาและรัฐบาลชุดปัจจุบันรวมทั้งกลุ่มการเมืองดั้งเดิม นับตั้งแต่เหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองครั้งใหญ่ในชิลีเมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๖๒ ซึ่งประชาชนออกมาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปเพื่อสร้างความเท่าเทียมในสังคม

ในการรณรงค์หาเสียง นาย Boric ได้ประกาศนโยบายที่เน้นการเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองให้เปิดกว้างและครอบคลุมมากขึ้น ให้ความสำคัญแก่ประเด็นสิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม ความเท่าเทียมทางเพศ และการสร้างความเท่าเทียมในสังคม โดยจะยกเลิกการดำเนินนโยบายทุนนิยมเสรีแบบสุดโต่งเกินไปซึ่งประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม แต่จะหันไปเพิ่มบทบาทภาครัฐในการจัดสรรสวัสดิการต่าง ๆ เพิ่มการจัดเก็บภาษี ลดชั่วโมงทำงาน มีระบบสนับสนุน SMEs และส่งเสริมการรวมกลุ่มสหกรณ์แรงงาน ขณะที่ด้านการต่างประเทศ ได้เสนอให้ปรับปรุงความตกลงการค้าเสรีให้ทันสมัยขึ้น และทบทวนการเข้าร่วมความตกลงระหว่างประเทศต่าง ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้รัฐบาลท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมพิจารณา ซึ่งทำให้ชิลีมีแนวโน้มจะไม่สนับสนุนการให้สัตยาบันความตกลง CPTPP จนกว่าการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของชิลีจะเสร็จสิ้น ขณะที่ยังคงรักษาสมดุลความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือด้านพลังงานทดแทนและสิ่งแวดล้อมกับต่างประเทศ