นายกรัฐมนตรีพบหารือนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ พร้อมร่วมพิธีส่งมอบการเป็นเจ้าภาพเอเปคให้กับไทยเป็นประธานเอเปคในปี 2565 พร้อมพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติ

นายกรัฐมนตรีพบหารือนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ พร้อมร่วมพิธีส่งมอบการเป็นเจ้าภาพเอเปคให้กับไทยเป็นประธานเอเปคในปี 2565 พร้อมพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติ

วันที่นำเข้าข้อมูล 8 พ.ย. 2564

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 30 พ.ย. 2565

| 981 view

     เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2564 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้หารือกับนางสาวจาซินดา อาร์เดิร์น (The Right Honourable Jacinda Ardern) นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ ผ่านระบบ Video conference ซึ่งฝ่ายนิวซีแลนด์เป็นฝ่ายทาบทามการหารือ เพื่อเป็นโอกาสในการหารือเรื่องการส่งมอบการเป็นเจ้าภาพเอเปคให้กับไทย และประเด็นสำคัญที่ไทยประสงค์ผลักดัน (Priorities) ในการประชุมเอเปคในช่วงที่ไทยเป็นเจ้าภาพ ซึ่งนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงสาระสำคัญของการหารือ ดังนี้

 

    นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้หารือกับนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์อีกครั้ง หลังจากที่ได้พบกันครั้งล่าสุดในการเดินทางเยือนไทยของนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์เพื่อเข้าร่วมประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 14 ที่กรุงเทพ นายกรัฐมนตรีชื่นชมความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับนิวซีแลนด์ที่ดำเนินมาอย่างใกล้ชิดแม้ในห้วงการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ไทยกับนิวซีแลนด์ยังคงรักษาพลวัตของความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันทั้งในระดับทวิภาคี อนุภูมิภาค และภูมิภาค ทั้งนี้ ไทยชื่นชมความสำเร็จของนิวซีแลนด์ในการเป็นเจ้าภาพเอเปคปีนี้ ไทยพร้อมที่จะรับมอบการเป็นเจ้าภาพเอเปค และนายกรัฐมนตรีหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะได้มีโอกาสต้อนรับนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ ในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 29 ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ ในเดือนพฤศจิกายน 2565

 

    นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสหารือกับนายกรัฐมนตรีในวันนี้ ชื่นชมบทบาทของนายกรัฐมนตรีมาโดยตลอด ชื่นชมความก้าวหน้าในการจัดการประชุมเอเปคของไทย และเฝ้ารอที่จะมีส่วนร่วมประชุมเอเปคที่ไทยเป็นเจ้าภาพ และประทับใจประเด็นที่ไทยผลักดันในการประชุม และเฝ้ารอที่จะร่วมพิธีส่งมอบการเป็นเจ้าภาพเอเปคให้ไทยในสัปดาห์หน้า ตลอดจน ยินดีกับความสัมพันธ์ไทย-นิวซีแลนด์ซึ่งไทยถือเป็นมิตรประเทศที่สำคัญหวังจะมีความร่วมมือมากขึ้น โดยไทยและนิวซีแลนด์ได้ครบรอบ 65 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในปีนี้

 

      ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นความร่วมมือทวิภาคีระหว่างกัน 
    - ด้านการค้าการลงทุน นิวซีแลนด์ประสงค์จะกระชับความร่วมมือด้านนี้มากขึ้น ด้วยความสัมพันธ์ที่ยาวนานระหว่างกัน ทำให้มีความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนระหว่างกันมากขึ้นจึงประสงค์จะใช้กลไกเหล่านั้นเพิ่มความสัมพันธ์ ซึ่งนายกรัฐมนตรียินดีที่จะผลักดันความร่วมมือดังกล่าวเพื่อประโยชน์ร่วมกัน 
 
    - การท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ประสงค์ที่จะผลักส่งเสริความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน นายกรัฐมนตรีจึงได้กล่าวถึงการเปิดประเทศที่ชาวนิวซีแลนด์สามารถเดินทางมาไทยผ่านการเปิดประเทศของไทยแล้ว ทั้งสองฝ่ายจึงประสงค์สนับสนุนการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างกันต่อไป 
 
    - ด้านสาธารณสุข ไทยประสงค์จะเรียนรู้ศาสตร์ด้าน TravelMedicine จากนิวซีแลนด์ และแสวงหาความร่วมมือด้านการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมแพทย์ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ของไทย 
 
    - ด้านการศึกษา นายกรัฐมนตรีชื่นชมระบบการศึกษาของนิวซีแลนด์จึงทำให้มีนักเรียนไทยเดินทางศึกษาที่นิวซีแลนด์กว่า 3 พันคน ต่อปี และขอให้นิวซีแลนด์ผ่อนปรนให้นักศึกษาไทยกลับไปศึกษาต่อไป 
 
      ในโอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อสถานการณ์ที่เป็นประเด็นระหว่างประเทศ 
    - โควิด-19 และการจัดหาวัคซีน นายกรัฐมนตรี ชื่มชมความสำเร็จของนิวซีแลนด์ในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตามนโยบาย “Go Hard, Go Early” และการบริจาควัคซีนโควิด-19 ของนิวซีแลนด์ให้กับ COVAX Facility และหมู่เกาะแปซิฟิก ซึ่งไทยก็ได้ร่วมบริจาคเงินสนับสนุนเงินและความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเช่นกัน 
 
    - สิ่งแวดล้อม นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ชื่นชมวิสัยทัศน์นายกรัฐมนตรีไทยที่ให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมทั้งในการกำหนดนโยบายและในกรอบการประชุมเอเปคเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีหวังที่จะผลักดันนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG ของไทย ร่วมมือกับ แผนเศรษฐกิจ 30 ปี ของนิวซีแลนด์
 
    - สถานการณ์เมียนมา ทั้งสองฝ่ายหวังที่จะให้เกิดความสงบ สถานการณ์คลี่คลาย และกลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณนิวซีแลนด์ที่ได้ให้การสนับสนุนบทบาทของอาเซียนในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ในเมียนมา และหวังว่านิวซีแลนด์จะยังคงสนับสนุนอาเซียนต่อไป ซึ่งนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ชื่นชมบทบาทที่เข้มแข็งของไทยในภูมิภาค
 
    ทั้งนี้ บรรยากาศในการหารือเป็นไปอย่างเป็นกันเอง ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้หวังที่จะขยายความร่วมมือด้านสาธารณสุข และพลังงาน โดยประสงค์ให้หน่วยงงานของไทย ได้แก่ กรมการแพทย์ (Department of Medical Services) กรมควบคุมโรค (Department of Disease Control) และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ (Department of Medical Sciences) ภายใต้กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานด้านพลังงานทดแทน ได้แก่ กระทรวงพลังงาน และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (Thailand Institute of Scientific and Technological Research) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้มีความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของนิวซีแลนด์ ต่อไปในอนาคต

รูปภาพประกอบ

รูปภาพประกอบ